ใช้บัตรเครดิตอย่างไรได้ประโยชน์สูงสุด
ถ้าเรารูดบัตรเครดิตโดนใช้ระยะเวลาปลอดหนี้มากเท่าไหร่ ก็เท่ากับเราไม่ต้องถอนเงินของเราออกมาใช้มากเท่านั้น
หลักการใช้บัตรเครดิตให้ได้ประโยชน์สูงสุดง่ายๆก็คือ ใช้ประโยชนจากบัตรเครดิตให้เต็มที่ ตามสิทธิประโยชน์ต่างๆที่บัตรเครดิตให้ขณะเดียวกัน ก็หลีกเลี่ยงข้อเสียของบัตรเครดิตให้มาที่สุด เช่น อย่าเป็นหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น
การใช้ประโยชน์จากระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย
จากวิธีคิดดอกเบี้ยของผู้ออกบัตรเครดิตเราจะสังเกตุเห็นว่า จะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่แม้ว่าเราจะกดบัตรเครดิตเอาเงินมาใช้จ่ายแล้ว บริษัทที่ออกบัตรเครดิตก็ยังไม่คิดดิดเบี้ยเรา ซึ่งขอเรียกช่วงระยะเวลานี้ว่า "ระยะปลอดดอกเบี้ย" ถ้าเราชำระเงินที่เรารูดบัตรเครดิตใช้จ่ายทั้งหมดไม่เกินวันกำหนดชำระเงิน เราจะไม่เสียดอกเบี้ยเลย (เหมือนผู้ออกบัตรเครดิตให้เรายืมเงินมาใช้ฟรีๆ ไม่คิดดอกเบี้ย)
ถ้าเราใช้บัตรเครดิตในระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยมากเท่าไหร่ก็เท่ากับเราไม่ต้องถอนเงินของเราออกมาใช้นานเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารูดบัตรเครดิตใช้จ่ายในวันที่ 1 จำนวน 100,000 บาท และบัตรเครดิตนั้นมีระยะเวลาปลอดดอดเบี้ยนาน 30 วัน ก็เท่ากับเราไม่ต้องถอนเงินฝากของเราออกจากธนาคาร กินดอกเบี้ย (สมมติดอกเบี้ยเงินฝากเราได้รับอยู่ที่ 2% ต่อปี) ไปเรื่อยๆ ได้ตั้ง 30 วัน เมื่อไหร่ ก็ถอน 100,000 บาท จ่ายหนี้ไป เท่ากับเราได้กำไรดอกเบี้ยจากระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยมาเท่ากับกับ 2% จากเงินฝาก 100,000 บาท
ถ้าจะใช้วิธีนี้ให้ได้ผล เราต้องมีบัตรเครดิตที่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยยาวๆหลายใบ และที่สำคัญต้องมีวันกำหนดชำระบัญชีต่างกัน อย่างผมเองจะมีบัตรเครดิตอยู่ 2 ใบ มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเท่ากันคือ 45 วัน (ไม่ได้เลือกบัตรเครดิตที่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยนานสุด เพราะมีคุณสมบัติอื่นน่าสนใจกว่า) โดย
บัตรเครดิตใบที่ 1 จะตัดรอบบัญชีทุดวันที่ 15 และกำหนดชำระเงินทุกวันที่ 30
บัตรเครดิตใบที่ 2 จะตัดรอบบัญชีทุกวันที่ 30 และกำหนดชำระเงินทุดวันที่ 15
ดังนั้น เพื่อจะใช้ประโยชน์จากระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยให้มาที่สุด ผมก็จะรูดบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่าย ดังนี้
ช่วงวันที่ 1 - 15 ของแต่ละเดือน ผมก็จะรูดบัตรเครดิตที่ 2 มาใช้จ่าย ยกตัวอย่างเช่น หากผมใช้บัตรเครดิตใบที่ 2 รูดซื้อของ 10,000 บาท ในวันที่ 1 การใช้จ่ายนี้จะถูกบันทึกในรอบการใช้จ่ายในวันที่ 30 ของเดือน ซึ่งผมจะต้องชำระเงินในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เท่ากับผมใช้ประโยชน์จากระยะเวลาปลอดดอดเบี้ยถึง 45 วัน หรือเท่ากับผมยืมเงินจากผู้ออกบัตรเครดิตมาใช้ฟรีๆนาน 45 วัน
ทำนองเดียวกัน ช่วงวันที่ 16 - 30 ผมก็จะรูดบัตรเครดิตที่ 1 มาใช้จ่าย ยกตัวอย่างเช่น หากผมใช้บัตรเครดิตใบที่ 1 รูดซื้อของ 10,000 บาท ในวันที่ 16 การใช้จ่ายนี้จะถูกบันทึกในรอบการใช้จ่ายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ซึ่งผมจะต้องชำระเงินในวันที่ 30 ของเดือนถัดไป เท่ากับผมใช้ประโยชน์จากระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยถึง 45 วันเช่นกัน หรือเท่ากับผมได้ยืมเงินบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตมาใช้ฟรีๆ ไม่เสียดอกเบี้ยถึง 45 วันเหมือนกัน
การใช้ประโยชน์จากการผ่อน 0%
การผ่อน 0% ก็คือเราชำระค่าสินค้า หรือบริการโดยที่ไม่ต้องจ่ายเป็นจำนวนเต็ม คือ แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ตัวอย่างเช่น หากเรารูดบัตรซื้อของราคา 40,000 บาท ผ่อน 0% จ่าย 10 งวด แปลว่า เราจ่ายเงินเพียงเดือนละ 4,000 บาทเป็นเวลา 10 เดือนเท่านั้น อ้าว!!!! ถ้าดอกเบี้ย 0% ก็หมายความว่าบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตจะไม่มีรายได้นะสิ แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ถึงมีบริการดอกเบี้ย 0% มากมายหล่ะ?
ผ่อน 0% มัน 0% จริงป่าว
ก่อนที่เราจะรูดผ่อน 0% เราต้องดูก่อนนะครับว่า ถ้าจ่ายเต็ม คิดราคาเท่าไหร่ ผ่อน 0% คิดราคาเท่าไหร่ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะซื้อ โน๊ตบุ๊ค หรือ มือถือ หลายๆเจ้าจะบอกผ่อน 0% เท่านั้นเท่านี้ต่อเดือน อาจเป็น 6 เดือน 10 เดือน แล้วแต่ยี่ห้อ หรือแล้วแต่ช่วงการแข่งขัน แต่ถ้าเราจ่ายเต็มจำนวนมันจะลดได้ 3 - 5 % หลายคนอาจแปลว่า จ่ายเต็มได้ส่วนลด แต่จริงๆแล้ว จ่ายเต็มก็ราคาปกตินั้นแหละ (แต่อาจเป็นราคาพิเศษช่วงโปรโมชั่น) แต่ถ้าผ่อนจะต้องจ่ายจ่ายแพงขึ้น ในเมื่อถ้าผ่อน 0% ราคาของมักสูงกว่าที่ต้องจ่ายเต็มจำนวน ดังนั้นก็เท่ากับว่า ผ่อน 0% ในกรณีนี้มันไมใช่ 0% จริงๆมันบวกดอกเบี้ยเข้าไปในราคาสินค้าเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็มีนะครับ ที่จ่ายเต็มหรือผ่อน 0% ราคาเท่ากัน แสดงว่า ผ่อน 0% ไม่มีดอกเบี้ยจริงๆ ซึ่งเราเองก็ต้องดูเงื่อนไข หรือโปรโมชั่นในช่วงนั้นๆที่ใช้บัตรเครดิตกันดีๆนะครับ เพราะว่ามันจะเซฟเงินในกระเป๋าของเราได้เยอะเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น